ย้อนไทม์ไลน์ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและดูแล Amazon มากว่า 30 ปี

Highlight

นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘Amazon’ ร้านค้าออนไลน์ ยอดขายหมื่นล้าน มูลค่ามากที่สุดอันดับ 3 ในสหรัฐฯ ชายผู้มีความฝันที่จะสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ทุกคนต้องนึกถึงเป็นชื่อแรกอย่าง ‘Jeff Bezos’ ผู้พลิกโฉมวงการ E-commerce ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘Amazon’ 

ร้านค้าออนไลน์ ยอดขายหมื่นล้าน มูลค่ามากที่สุดอันดับ 3 ในสหรัฐฯ

ชายผู้มีความฝันที่จะสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ทุกคนต้องนึกถึงเป็นชื่อแรกอย่าง ‘Jeff Bezos’ ผู้พลิกโฉมวงการ E-commerce ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ล่าสุด มีข่าวว่า Jeff Bezos ประกาศว่าเขาเตรียมก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Amazon ในไตรมาส 3 ปีนี้ 

แต่ยังคงถือหุ้นอยู่ 10.6% และนั่งในตำแหน่ง Executive chairman แทน

วันนี้ #Agenda สรุปไทม์ไลน์ของ ‘Jeff Bezos’ ผู้ก่อตั้งและดูแล Amazon มากว่า 30 ปี มาให้ดูกันค่ะ

— TIMELINE —

1964

12 มกราคม กำเนิดชายชื่อ ‘Jeff Bezos’ ในย่านแอลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก เขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่พร้อมเท่าไหร่นัก เพราะพ่อและแม่ของเขามีอายุเพียงแค่ 18 และ 16 ปีเท่านั้น 

แต่พ่อของเขาติดสุราอย่างหนัก จนต้องหย่ากับแม่ในที่สุด หลังจากแต่งงานได้ไม่ถึงปี

คุณตาของ Jeff ‘Lawrence Preston Gise’ มีดีกรีเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูสหรัฐอเมริกา 

Jeff จึงมีแรงบันดาลใจที่จะศึกษา เทคโนโลยีต่างๆเอามาก โดยเฉพาะ ‘คอมพิวเตอร์’ 

วันหนึ่ง เขาดูถ่ายทอดการลงจอดบนดวงจันทร์ของยาน Apollo เขาชื่นชอบมาก ตั้งใจจะเป็นนักบินอวกาศให้ได้

เขาเริ่มอ่านหนังสือทุกอย่าง จนกลายเป็นหนอนหนังสือตัวยง

1986

Jeff จบเกียรตินิยมอันดับ 1 ที่ Princeton University สาขาวิศวะคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์

1990

งานแรกของ Jeff เริ่มที่บริษัทสตาร์ทอัพด้านการสื่อสาร แต่ไม่นานก็ย้ายเข้าทำงานกับบริษัทต่างๆ งานสุดท้ายของเขาคือบริษัทการเงิน D. E. Shaw & Co ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสของบริษัทที่อายุเพียง 28 ปี เท่านั้น

ในปี 1993 Jeff ได้แต่งงานกับ Mackenzie S. Tuttle แฟนสาวที่รู้จักกันในที่ทำงานนี้เอง

1994

ด้วยความที่ Jeff ทำงานในด้านการเงิน เขารู้ข้อมูลใหม่ๆอยู่เสมอ วันหนึ่งเขาได้ข้อมูลมาว่า ‘ธุรกิจอินเตอร์เน็ตเติบโตพุ่งขึ้นสูงกว่า 2,300% ต่อปี’

เขาเอาเรื่องนี้ไปคุยกับหัวหน้า แต่หัวหน้าของเขากลับไม่เห็นด้วย เพราะเสี่ยงเกินไปแถมยังไม่มีความมั่นคง 

Jeff มีความคิดว่าอยากทำเว็บไซต์ที่ขายของทุกอย่าง และเป็นที่แรกที่ลูกค้าต้องนึกถึง 

เขาเริ่มจากการลิสต์รายชื่อสินค้าที่เติบโตได้เร็วที่สุด สุดท้ายจบลงที่ ‘หนังสือ’ นี่แหละที่เหมาะที่สุดในการเริ่มต้น

เขาเห็นโอกาสใหม่ในธุรกิจนี้ จึงขอลาออก แน่นอนว่าตอนนั้นไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาเลยซักคน ยกเว้นภรรยา

ทั้งคู่จึงตัดสินใจลาออกด้วยกัน ไปทำตามความฝัน และย้ายไปอาศัยอยู่ที่ซีแอตเทิล

Jeff ได้ก่อตั้งบริษัทแรกชื่อ Cadabra แต่กลัวว่าคนทั่วไปจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็น Cadaver (แปลว่าซากศพ) 

เขาจดโดเมนอีกหลายชื่อ เช่น Browse.com, Bookmall.com แต่ในที่สุด Jeff ก็ไปสะดุดกับคำว่า ‘Amazon’ แม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในพจนานุกรมเล่มหนึ่ง

ซึ่ง Jeff อยากให้เว็บไซต์นี้เป็นร้านหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงกลายเป็นชื่อ ‘Amazon.com’ ในที่สุด

Jeff เริ่มต้นธุรกิจด้วยคนเพียง 4 คน ในโรงรถที่บ้านของเขา และเงินลงทุนของ Jeff 10,000 เหรียญสหรัฐฯ

แต่ในความเป็นจริง เขาต้องไปกู้ยืมเงินนับล้านดอลล่าร์จากญาติๆ และธนาคาร เพื่อลงทุนและจ้างทีมงานหัวกะทิ 

1995

16 กรกฎาคม Jeff Bezos เปิดตัวเว็บไซต์ ‘Amazon.com’ เคลมว่าเป็นร้านหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะติดต่อกับร้านขายส่งหนังสือหรือสำนักพิมพ์โดยตรง ทำให้ Jeff ขายหนังสือได้โดยไม่ต้องสต็อกหนังสือ เมื่อมีคำสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ Jeff จะส่งออเดอร์ไปยังร้านหรือสำนักพิมพ์ทันที

Amazon.com จำหน่ายหนังสือทั่วอเมริกาและอีก 45 ประเทศทั่วโลก จัดส่งภายใน 30 วัน ใช้เวลา 2 เดือน ยอดขายก็พุ่งไปถึง 20,000 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในบริษัทเพิ่ม 

1997

Jeff Bezos นำ Amazon เข้าตลาดหลักทรัพย์ ราคา IPO คือ 18 ดอลล่าร์ 

มูลค่าที่ขายไปทั้งหมดคือ 54 ล้านดอลล่าร์

1998

Jeff พบกับสองหนุ่มนักศึกษา คือ Larry Page และ Sergey Brin ผู้ก่อตั้ง ‘Google’ 

ในขณะนั้นโปรเจ็ค Google คือการทำ Search Engine ที่ดีที่สุดในโลก ขณะที่ Yahoo ครองตลาดอยู่

แต่ Jeff ก็ลงทุนใน Google ไป 250,000 ดอลล่าร์ แลกกับหุ้นจำนวน 3.3 ล้านหุ้น และการลงทุนในวันนั้นเอง ส่งผลให้เงินนั้น กลายเป็น 29,000 ดอลล่าร์ ในวันนี้

Jeff เพิ่มหมวดสินค้าใน Amazon และปรับเปลี่ยนโลโก้ของเว็บไซต์ โดยมีลูกศรลากจาก A ไปที่ตัว Z มีความหมายว่า สามารถซื้อสินค้าที่มีได้ตั้งแต่ A ถึง Z เลยทีเดียว

1999

Jeff พยายามโค่น Ebay ด้วยการเปิดตัวระบบประมูล ซึ่งลงทุนไปมาก แต่ก็ล้มเหลว และไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ได้

2000

เขาก็เริ่มวางแผนการก่อตั้งบริษัท Blue Origin ขึ้นมาเองอย่างลับๆ

2003 

เริ่มสร้างจรวดที่ขึ้นลงแนวดิ่ง

2004 

เริ่มโครงการลับที่จะทำอุปกรณ์ในการอ่านหนังสือแบบ E-Book

2006 

เปิดตัว ‘AWS’ (Amazon Web Service) บริการบนระบบคลาวด์เต็มรูปแบบ 

2007 

เปิดตัว ‘Kindle’ อุปกรณ์ที่ใช้อ่าน E-Book คล้ายแท็บแล็ต แต่ใช้อ่านหนังสืออย่างเดียว หน้าจอขาวดำ ถนอมสายตามากกว่าและขนาดกะทัดรัด บางเบา จนเกิดศึกชิงจ้าวตลาด E-book กันระหว่าง Amazon กับ Apple

2010 

ยอดขาย E-book โตแซงหน้าหนังสือเล่ม ทำให้ Amazon หันมาเน้น E-Book อย่างจริงจัง 

2011 

Amazon สร้างยอดขาย Kindle Fire ได้ถล่มทลาย มียอดจองผ่านเว็บไซต์กว่า 2,000 เครื่องต่อชั่วโมง หรือประมาณ 50,000 เครื่องต่อวัน

2015 

ทดสอบจรวดและกลับมาลงจอดได้สำเร็จ หลังบินออกไปนอกโลกเกิน 100 กิโลเมตร 

และ Amazon เปิดร้านขายหนังสือแบบมีหน้าร้าน หลังจากที่ร้านค้าปลีกหนังสือคู่แข่งได้ล้มหายไปหมดแล้ว

2017 

Amazon เข้าซื้อกิจการของ Whole Foods Market ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ซึ่ง Amazon นำระบบการสั่งซื้อออนไลน์มาใช้กับ Whole Foods ทำให้ลดขั้นตอนการจ่ายเงินลงไปได้อย่างมาก

2018

ธุรกิจคลาวด์ AWS ไปได้ดี จน Jeff ร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 ในโลก

ปัจจุบัน 2021

Jeff Bezos ร่ำรวยที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจาก Elon Musk 

และไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว Jeff Bezos ประกาศว่าเขาเตรียมก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Amazon.com 

ในวัย 57 ปี ซึ่งจะมีผลในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 

แต่เขายังถือหุ้นอยู่ 10.6% และเปลี่ยนไปนั่งในตำแหน่ง Executive chairman หรือประธานกรรมการบริหารของบริษัทแทน

กล่าวได้ว่า Jeff ลดบทบาทการบริหารงานลงเพื่อโฟกัสกับเรื่องที่เขาสนใจมากขึ้น เช่น

– Blue Origin บริษัทยานอวกาศ และขนส่งทางอวกาศ

– The Washington Post สื่อใหญ่ในสหรัฐอเมริกา

– Amazon Day 1 Fund กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้ และเด็กที่ขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา

ส่วนว่าที่ CEO ใหม่ คือ Andy Jassy มีดีกรีเป็นผู้บริหารสูงสุดในส่วนธุรกิจคลาวด์ของ Amazon.com

หากในวันนั้น Jeff ล้มเลิกความฝันของเขาในการสร้างธุรกิจร้านค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด ก็คงไม่มี ‘Amazon’ บริษัทที่มีมูลค่าบริษัทราวๆ 51 ล้านล้านบาท มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในสหรัฐฯ รองจาก Apple และ Microsoft  ขึ้นได้ในวันนี้

ที่มา : CEOchannels, Timetoast, The New York Times, Longtunman

Popular Topics