ไม่ใช่แค่คนไทยที่อยากย้ายประเทศ
ในประเทศที่เรามองภาพว่าพัฒนาแล้วอย่างเกาหลีใต้
เบื้องหลังกลับเป็นนรกโชซอนสำหรับเด็กนักเรียน
เมื่อเทียบเอเชียกับประเทศยุโรปแล้ว
ความหนักหนาในการเรียนถือว่าแตกต่างอย่างมาก
นักเรียนส่วนใหญ่ในเอเชีย เช่น ไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่สิงคโปร์
ล้วนแบกรับความเครียดความกดดัน
จากการเรียน และการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
จนหลายครั้งนำไปสู่การสูญเสียที่ยากจะยอมรับได้
อัตราการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น
[ ไทย ]
– วัยรุ่นอายุ 20-24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 4.94 ต่อประชากรแสนคน
ในปี 2560 และเพิ่มขึ้นเป็น 5.33 ต่อประชากรแสนคนในปี 2561 (กรมสุขภาพจิต)
– นิสิตนักศึกษามากกว่า 10 ราย ฆ่าตัวตายเพราะความเครียดและโรคซึมเศร้า
ในเดือนมกราคม – เมษายน 2562 (BBC ไทย)
– นักเรียนมัธยม 32% รู้สึกเศร้าและสิ้นหวังอยู่ตลอดเวลา
17% คิดฆ่าตัวตายอย่างจริงจัง
14% วางแผนฆ่าตัวตาย
7% พยายามฆ่าตัวตาย
(ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค, 2017)
[ ญี่ปุ่น ]
– การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของเด็กญี่ปุ่น
ในเด็กญี่ปุ่น 100 คน มี 29 คนที่ฆ่าตัวตาย
(กระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการสังคมของญี่ปุ่น, 2017)
– นักเรียน ‘ประถมและมัธยม’ ฆ่าตัวตายกว่า 250 คน ระหว่างปี 2016 – 2017
และมีแนวโน้มพุ่งสูงช่วงก่อนเปิดภาคเรียน
– และล่าสุดปี 2020 ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง
อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กพุ่งขึ้น 49%
[ เกาหลีใต้ ]
– อัตราการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น สูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD
อยู่ที่ 24.6 ต่อประชากรแสนคน
– วัย 9-24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 9.1 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2018
– การสำรวจในปี 2019 พบ 28% ของเด็กมัธยมมี ‘ภาวะซึมเศร้า’
ความผิดใคร?
——————–
เรียนหนัก เพื่ออะไร?
เด็กไทยเรียนวันละ 8-10 คาบ ไม่นับเรียนพิเศษ
รวมกว่า 1,200 ชั่วโมงต่อปี
ติดอันดับ 1 ประเทศที่เด็กเรียนหนักที่สุดในโลกในปี 2012 โดย UNESCO
บางครอบครัวให้ลูกเริ่มกวดวิชาตั้งแต่ 5 ขวบ
พ่อแม่ยอมจ่ายเงินหลายแสนบาทต่อปี ให้ลูกเรียนพิเศษ
เพื่อเตรียมสอบเข้าโรงเรียนดัง ม.ดังๆ และคณะดังๆ เช่น แพทย์ วิศวะ
ไม่แปลกใจที่เด็กไทยหลายคนไม่รู้จุดมุ่งหมายของตัวเอง
เพราะจะให้เอาเวลาไหนไปหา ในเมื่อให้สิ่งที่ถูกยื่นให้ทำคือท่องจำตำรา
และก้มหน้าก้มตาเรียนพิเศษ
เรียนจนจบ แต่สุขภาพจิตไม่เหลือ
มีนักเรียนแพทย์กี่คนที่กินยา จนกลายเป็นเรื่องปกติ
ในการเรียนแพทย์กว่าจะจบ 4 ปี และต่อเฉพาะทางอีก
ก็อายุเกือบ 30 ข้ามไปเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่มีเวลาพักให้ใช้ชีวิต
——————–
ความแตกต่างของระบบการศึกษา
ฝั่งเอเชีย vs ฝั่งอเมริกา-ยุโรป
ในขณะที่ชีวิตของเด็กเอเชีย แขวนอยู่กับการเรียน
เด็กยุโรปมีพื้นที่ และเวลาว่างให้ค้นหาตัวเอง
1) รูปแบบการเรียนการสอน
ฝั่งอเมริกา-ยุโรป
– เน้น Critical Thinking ถกประเด็นต่างๆในห้องเรียน
เน้นให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง
– ครูไม่ถือตัวกับนักเรียน
– หล่อเลี้ยงความสงสัย (curiousity) ของเด็ก
– เน้น output สอนยังไงก้ได้ ให้เด็กเอามาใช้จริง หรือประยุกต์ต่อได้
– ออกแบบหลักสูตรจากการทำงานของสมอง เน้นการลงมือทำ
– มี gap year ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
เอเชีย
– เน้นวิชา STEM (Science Technology Engineering and Mathematics)
ที่มีคำตอบแค่ถูกกับผิด มากกว่าคำตอบใหม่ๆ
– นักเรียนต้องเป็นทางการกับครู
– ใส่ input ให้เด็กเยอะไป แล้วมาวัด output ของเด็กตอนทำงานทีเดียว
– ออกแบบหลักสูตรจากตำรา
2) การวัดผล
ฝั่งอเมริกา-ยุโรป
– วัดศักยภาพด้วยตัววัดที่เหมาะกับเด็กแต่ละคน
ส่งเสริมด้านที่เด็กถนัด เหมือนไม้บรรทัดส่วนตัว
เอเชีย
– ขึ้นอยู่กับอันดับ Ranking system
– ทำคะแนนได้ดีใน PISA,TIMSS การสอบวัดความฉลาดทางคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
– วัดเด็กทุกคนด้วยบรรทัดฐานเดียวกัน
ทั้งที่เด็กแต่ละคนมีความเฉพาะตัวแตกต่างกัน
——————–
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่าง
1) ความเจริญของประเทศ
ฝั่งอเมริกา-ยุโรป
– เนื่องจากเป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีคนจากประเทศอื่นเข้าไปทำงาน
งานใช้แรงงานเลยตกเป็นของคนเชื้อชาติอื่น
ส่วนคนในประเทศก็ไปเน้นงานเฉพาะทางมากกว่า
– มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ ที่ผ่านยุคสมัยของการปฏิวัติอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์
– มีนักคิด นักวิทยาศาสตร์ เป็นต้นแบบ
เอเชีย
– ยังต้องการพัฒนาคนมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
งานที่ทำจึงขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด
– ความหนาแน่นของประชากรมากกว่า ในพื้นที่ทรัพยากรจำกัด
เช่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง จึงต้องการระบบวัดผลที่เป็นรูปธรรม
– เกิด middle-income trap ประเทศรายได้ปานกลาง
ต้องการยกตัวเองเป็นประเทศที่มีรายได้สูง
– ระบอบการปกครองขัดขวางนวัตกรรมใหม่ๆ
– อุตสาหกรรมในด้านอื่นยังเป็นรอง
เช่น อุตสาหกรรมกีฬา ภาพยนตร์ แฟชั่น
2) ค่านิยมจากสังคม
ฝั่งอเมริกา-ยุโรป
– การเรียนเป็นทางเลือก หรือไลฟ์สไตล์
– ครอบครัวไม่ได้ปลูกฝังเรื่องบุญคุณเท่าเอเชีย
พ่อแม่ฝึกให้ลูกเอาตัวรอดเอง ต่างคนต่างรับผิดชอบชีวิตตัวเอง
เอเชีย
– รูปแบบสังคมเป็นพีระมิด คนที่อยู่บนยอดถึงได้รางวัล
ทำให้การแข่งขันสูง
– มองการศึกษาเป็นตัวเลือกบังคับ ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
เป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัว
– พ่อแม่ผ่านความยากลำบาก ในยุคที่ประเทศยังไม่พัฒนามาก (industrialized country)
เลยไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนตัวเอง
แม้เด็กต่างสัญชาติจะมีศักยภาพไปได้ไกลพอกัน
แต่มีเด็กฝั่งเอเชียกี่คนแล้ว ที่ถอดใจไปก่อนเพราะถูกระบบกดดัน
——————–
BBC ลองสลับให้เด็กอังกฤษมาเรียนแบบจีน
ด้วยความสงสัยว่าการเรียนแบบอังกฤษกำลังล้าหลังหรือเปล่า
เพราะช่วงหลังๆ คะแนนสอบของนักเรียนอังกฤษตกต่ำ ขณะที่ของนักเรียนจีนสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก
รายการ Are our kids tough enough? Chinese School ของ BBC
จึงได้เชิญครูจีน 5 คน มาสอนเด็กนักเรียนอังกฤษชั้นม.3 ที่โรงเรียนโบฮันท์ ในมณฑลแฮมพ์เชียร์
เป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบจีน
เริ่มเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม 12 ชั่วโมงต่อวัน
มีกิจกรรมออกกำลังกาย และเคารพธงชาติตอนเช้า
ผลที่ได้ คือ นักเรียนตามรูปแบบการสอนไม่ทัน
นักเรียนเริ่มไม่ตั้งใจเรียน หลับในคาบ
บางคนร้องไห้ เมื่อถูกบังคับให้วิ่งให้ผ่านเกณฑ์
และบางคนเริ่มคิดว่า ‘ตัวเองจะมีคุณค่า’ ก็ต่อเมื่อ
ได้เป็นที่หนึ่งในการแก้โจทย์ในห้องเรียน
ดูเหมือนจะไปไม่รอด แต่เมื่อสอบวัดผล
นักเรียนห้องนี้กลับทำได้ดีกว่าห้องอื่น
แต่แน่ใจนะ ว่าเด็กได้ที่ 1 มาโดยไม่เสียอะไรไป
——————–
‘ระบบการศึกษา’ ผลักให้เด็กบางคนมี ‘ชีวิตที่ดี’
ในขณะเดียวกัน ก็ผลักเด็กอีกคนไปอยู่ปลายเหว
แล้วประเทศเรา เลือกอะไรให้กับเด็ก?
#AGENDA
ที่มา: koreaherald, cna, BBC Thai, tcijthai, brandinside, news.ch7, posttoday, workpointtoday, กรมสุขภาพจิต, whereisthailand, matichon, thematter
อ่านเพิ่มเติมเรื่องการสอบเข้าของแต่ละประเทศ