Home Insight หมดยุคไวท์เทนนิ่ง เมื่อผู้คนยืนหยัดเพื่อความแตกต่าง #Blacklivematters

หมดยุคไวท์เทนนิ่ง เมื่อผู้คนยืนหยัดเพื่อความแตกต่าง #Blacklivematters

0

เหตุการณ์ #Blacklivematters นอกจากจะปลุกสังคมให้ตื่นมาใส่ใจความสำคัญของปัญหาเหยียดสีผิว ที่คุกคามชีวิตและจิตใจคนผิวดำมานาน ยังกระทบต่อเนื่องไปยังแบรนด์ต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องสำอางค์ ที่มีอิทธิพลกับเรื่องนี้พอสมควร

ในปีที่ผ่านมา Euromonitor International ระบุว่า ครีมช่วยผิวขาวมียอดขายทั่วโลกกว่า 6,277 ตัน

“ขาวแล้วจะป๊อปปูลาร์”
“ขาวสิถึงสวย” “ขาวสิถึงชนะ”
“ขาวสิ แล้วจะได้เลื่อนตำแหน่ง”

นี่คือการสื่อสารของโฆษณาเครื่องสำอางค์และสกินแคร์หลากหลายแบรนด์ ในช่วงเวลาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ชัดเจนมากว่าชี้นำและตอกย้ำค่านิยมความขาวเข้าไปอีก

แต่ตอนนี้ การขายสินค้าเพื่อผิวขาวนั้นมาถึงจุดสั่นคลอน (ในที่สุด!)
เพราะแม้ว่าสังคมจะเริ่มเข้าใจความแตกต่างและยอมรับกันมากขึ้น แต่การโฆษณาของแบรนด์ต่างๆ ก็ยังชี้นำไปในทางนี้

จนกระทั่ง #Blacklivematters เกิดขึ้น และหลายแบรนด์ถูกกดดันโดยตรงให้ออกมาแสดงจุดยืนด้านนี้

จนยักษ์ใหญ่ Johnson & Johnson ได้ออกมาประกาศเลิกผลิตสกินแคร์เพื่อผิวขาวในเอเชียและตะวันออกกลาง ได้แก่ Neutrogena Fine Fairness และ Clear Fairness by Clean & Clear พร้อมชี้ว่าความตั้งใจที่แท้จริงของ Johnson & Johnson คือการสื่อสารว่า “ผิวที่มีสุขภาพดีต่างหากคือผิวที่สวยงาม”

นอกจากนี้ Band-Aid แบรนด์ในเครือ Johnson & Johnson จะออกพลาสเตอร์ปิดแผลเฉดสีผิวต่างๆ นอกจากสีนู้ดอ่อนตามปกต

แต่ก็ไม่ได้มีแค่แบรนด์ที่ถูกกดดันจนต้องปรับตัวเท่านั้น หลายๆ แบรนด์ก็ผลักดันและสร้างจุดยืนเพื่อ ‘ความแตกต่าง’ นี้มาแต่ต้น เช่น

– Fenty Beauty แบรนด์ของ Rihanna นักร้องผู้ผันตัวมาเป็นแม่ค้า ได้ออกรองพื้นกว่า 40 สี เพื่อให้ทุกสีผิวมีโอกาสเข้าถึงสินค้าของเธอ

– Dove ผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมทุกรูปแบบ Dove มีจุดยืนในการสร้างความมั่นใจให้กับทุกคน ผ่านแคมเปญต่างๆ โดยเฉพาะแคมเปญ Real Beauty อันโด่งดัง

คนเราเกิดมาแตกต่างกัน แต่ค่านิยมความงามกลับบีบให้คนแตกต่างต้องเสียใจ
ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกใช้สีผิว รูปร่าง มาล้อเลียนกัน

Exit mobile version