Netflix vs. Disney+ ใครกันที่จะเป็นผู้ชนะในศึกสตรีมมิงครั้งนี้ ?

Highlight

สตรีมมิงเจ้าดังอย่าง ‘Netflix’ พบกับหลายเหตุการณ์ ข้ามผ่านมาหลายทศวรรษ จากร้านเช่าหนัง ปรับกลยุทธ์จนกลายเป็นสตรีมมิงอันดับ 1 ของโลกที่เคยมีผู้ใช้งานสูงถึง 200 ล้านคน (ข้อมูลในปี 2020) ต้องยอมรับว่าเป็นความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

แต่แล้วเวลาที่เปลี่ยนผ่าน การเกิดขึ้นของสตรีมมิงหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น HBO Go, Apple TV+ และคู่แข่งคนสำคัญอย่าง ‘Disney+’ ที่ตัดสินใจทำสตรีมมิงเองและถอดคอนเทนต์ทั้งหมดออกจากเน็ตฟลิกซ์ ประกอบกับเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่มียอดผู้ใช้งานลดลงไปกว่า 200,000 คน ส่งผลให้หุ้นร่วงลงไป 35% เจ้าตลาดอย่าง Netflix จึงอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป 

อย่างไรก็ตาม เน็ตฟลิกซ์พยายามจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน โดยเตรียมตรวจสอบผู้ใช้งานแบบ Premium plan ในแต่ละ Profile (หารกันได้มากสุด 4 คน) ต้องอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน  แต่ก็มีกระแสตีกลับจำนวนมากว่าผู้ใช้งานหลายคนอาจหันไปใช้สตรีมมิงเจ้าอื่นแทน 

#AGENDA 🔴🔵 ชวนส่องข้อมูลที่น่าสนใจของทั้งสองสตรีมมิงยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และ Disney+ พร้อมจุดเด่นของทั้งสองแพลตฟอร์ม

🔴 Netflix 🔴

แพลตฟอร์มสตรีมมิงยุคบุกเบิกที่เคยเป็นธุรกิจร้านเช่าวิดีโอในปี 1997 ก่อตั้งโดย Reed Hasting  ภายหลังผันตัวมาทำสตรีมมิงดูหนังในปี 2007 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยครั้งแรกในช่วงเมษายน ปี 2017 

✨ ข้อมูลที่น่าสนใจ 

– มีทั้งหมด 4 แพ็คเกจ ดูคนเดียวด้วย Mobile plan 99 บาท/เดือน, 

Basic : 279 บาท/เดือน หรือดูหลายคนด้วย Standard plan : 349 บาท/เดือน

และ Premium plan : 419 บาท/เดือน 

– มีภาพยนตร์มากกว่า 3,000 เรื่อง และซีรีส์อีก 15,000 ตอน 

– ปี 2022 มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 221.6 ล้านบัญชี ลดลงจากปีที่แล้ว 0.09%

– รายได้ของปี 2021 อยู่ที่ 238,549 ล้านบาท ถือเป็นกำไร 49,000 ล้านบาท

จุดเด่น 

– Netflix Original คอนเทนต์ที่จับมือสร้างกับหลายประเทศ และดูได้เฉพาะใน Netflix เท่านั้น

– ระบบนำเสนอคอนเทนต์เข้ากับความสนใจของผู้ใช้งาน

– ปล่อยซีรีส์ทุกตอนในครั้งเดียว ทำให้ดูได้อย่างต่อเนื่องและหยุดดูไม่ได้ (Binge-watching)

🎬 หนังและซีรีส์ที่น่าสนใจ: Squid Game / Stranger Things / Sex Education

🔵 Disney+ 🔵

เปิดตัวครั้งแรกพฤศจิกายน 2019 ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเนเธอร์แลนด์ ก่อตั้งโดย และเข้าสู่ตลาดยุโรปและเอเชียในปี 2020 ซึ่งในอินเดียมีบริษัทลูกของดิสนีย์อย่าง Star India จึงเปิดตัวใหม่ในชื่อ Disney+ Hotstar 

ข้อมูลที่น่าสนใจ 

– ราคา 799 บาท/ปี (เฉลี่ย 67 บาท/เดือน)   

– มีภาพยนตร์มากกว่า 700 เรื่อง และซีรีส์ 14,000 ตอน

– ปี 2022 มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 129.8 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 9.91% 

– รายได้ของปี 2021 อยู่ที่ 49,000 ล้านบาท

จุดเด่น 

– ภาพยนต์และซีรีส์โดย Disney ที่ไม่สามารถดูได้ที่อื่น เช่น Star Wars, Marvel และ Pixar

– เฉลี่ยแล้วราคาถูกกว่า Netflix

– ภาพยนตร์ใหม่อัปเดตไวไม่ตกเทรนด์

🎬 หนังและซีรีส์ที่น่าสนใจ: Loki /  Star Wars / Toy Story 

การเปิดตัวของสตรีมมิงเจ้าใหม่รวมถึง Disney+ ถึงจะเป็นความท้าทายสำหรับ Netflix แต่ในมุมของผู้ใช้งานถือเป็นโอกาสที่เราจะได้เสพคอนเทนต์คุณภาพ และมีทางเลือกใหม่ ๆ ในการใช้งาน

คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าสตรีมมิงแพลตฟอร์มใดจะปรับกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์และมัดใจผู้ใช้บริการได้มากที่สุด 

Popular Topics